สวัสดีค้าบบ ในตอนนี้พี่แม็คจะให้น้อง ๆ มาทำความรู้จักกับจำนวนชนิดใหม่ นั่นคือ จำนวนเชิงซ้อนนะครับ ซึ่งพี่แม็คจะมาสรุปเนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเชิงซ้อนให้น้องฟังกันคร่าว ๆ ดังนี้ค้าบบ ^^
จำนวนเชิงซ้อน
ก่อนอื่นพี่แม็คจะให้พิจารณาสมการ x2+1=0 ซึ่งจะเห็นว่า คำตอบของสมการจะไม่สามารถหาได้ เพราะว่าไม่มีจำนวนจริงใด ๆ ที่ยกกำลัง 2 แล้วมีค่าเท่ากับ −1 โดยการหาคำตอบจะนิยามจำนวนชนิดใหม่ คือ จำนวนเชิงซ้อน และกำหนดให้ i2=−1 โดย i เป็นหน่วยจินตภาพ จากสมการ x2+1=0 จะได้สมการ x2−(−1)=0
นั่นคือ x2−i2=0 ทำให้ (x−i)(x+i)=0 ดังนั้น คำตอบของสมการคือ x=i และ x=−i
จำนวนเชิงซ้อน (complex number) คือ จำนวนที่เขียนอยู่ในรูปของ a+bi หรือ (a,b) เมื่อ a,b เป็นจำนวนจริง
โดยทั่วไปแล้วจำนวนเชิงซ้อนมักจะเขียนแทนด้วย z,w
ในที่นี้จำนวนเชิงซ้อน z=a+bi หรือ z=(a,b) จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญ นั่นคือ
1. ส่วนจริง (real part) ของ z คือ จำนวนจริง a จะเขียนแทนด้วย Re(z)=a
2. ส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ z คือ จำนวนจริง b จะเขียนแทนด้วย Im(z)=b
การดำเนินการของจำนวนเชิงซ้อน
ให้ z=a+bi และ w=c+di เป็นจำนวนเชิงซ้อน
การบวก: z+w=(a+bi)+(c+di)=(a+c)+(b+d)i
TIPS: ให้น้องนำส่วนจริงมาบวกกัน และส่วนจินตภาพบวกกัน
การคูณ: zw=(a+bi)(c+di)=ac+adi+bci+bdi2=(ac−bd)+(ad+bc)i
TIPS: ให้น้อง ๆ ทำแบบคูณกระจาย แต่อาจจะต้องระวังเครื่องหมายด้วยนะครับ เพราะในเทอมสุดท้ายจะมี i2 ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ −1 ทำให้เครื่องหมายเปลี่ยนครับ และเป็นจุดที่น้องๆ สามารถพลาดได้ง่ายครับ
Ex. กำหนดให้ z=1+2i และ w=3−4i จงหาค่าของ z+w และ zw
วิธีทำ
z+w=(1+2i)+(3−4i)=(1+3)+(2−4)i=4−2i 
และ
zw=(1+2i)(3−4i)=3−4i+6i−8i2=3−4i+6i−8(−1)=(3+8)+(−4+6)i=11+2i 

ให้ z=a+bi และ w=c+di เป็นจำนวนเชิงซ้อน
ตัวผกผันภายใต้การบวกของจำนวนเชิงซ้อน z=a+bi เขียนแทนด้วย −z คือ −z=−a−bi
การลบ: z−w=z+(−w)=(a+bi)+(−c−di)=(a−c)+(b−d)i
TIPS: ให้น้องนำส่วนจริงมาลบกัน และส่วนจินตภาพลบกัน
Ex. กำหนดให้ z=1+2i และ w=3−4i จงหาค่าของ z−w
วิธีทำ
z−w=(1+2i)−(3−4i)=(1−3)+(2+4)i=−2+6i 
ตัวผกผันภายใต้การคูณของจำนวนเชิงซ้อน z=a+bi เมื่อ z=0
เขียนแทนด้วย z−1 คือ z−1=a2+b2a−a2+b2bi
การหาร: z÷w=zw−1 และเขียนแทน z÷w ด้วย wz
TIPS: การหารของจำนวนเชิงซ้อน น้อง ๆ สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 ใช้ตัวผกผันการคูณ
จาก zw−1=(a+bi)(c2+d2c−c2+d2di)=c2+d2ac+bd+(c2+d2bc−adi)
Ex. กำหนดให้ z=1+2i และ w=3−4i จงหาค่าของ wz
วิธีทำ
wz=(1+2i)(32+(−4)23−32+(−4)2(−4)i)=(1+2i)(253+254i)=253+254i+256i+258i2=(253−258)+(254+256)i=−255+2510i=−51+52i 
วิธีที่ 2 ใช้สังยุคของตัวหาร
สังยุค (conjugate) ของจำนวนเชิงซ้อน z=a+bi เขียนแทนด้วย zˉ คือ zˉ=a−bi
Ex. กำหนดให้ z=1+2i และ w=3−4i จงหาค่าของ wz โดยใช้สังยุคของตัวหาร
วิธีทำ เนื่องจาก w=3−4i จะได้ว่า wˉ=3+4i ทำให้
wz=(3−4i1+2i)(3+4i3+4i)=32+12i−12i−16i23+4i+6i+8i2=9+16(3−8)+(4+6)i=25−5+10i=−255+2510i=−51+52i 
ค่าสัมบูรณ์ (absolute value, modulus) ของจำนวนเชิงซ้อน z=a+bi เขียนแทนด้วย ∣z∣=a2+b2
Ex. กำหนดให้ z=1+2i และ w=3−4i
จงหา ∣z∣ และ ∣w∣
วิธีทำ
เนื่องจาก z=1+2i จะได้ว่า ∣z∣=12+22=1+4=5
และจาก w=3−4i จะได้ว่า ∣w∣=32+(−4)2=9+16=25=5
กราฟของจำนวนเชิงซ้อน
ก่อนอื่นพี่แม็คจะให้น้อง ๆ ทำความรู้จักกับกราฟของจำนวนเชิงซ้อน ดังนี้

เนื่องจากจำนวนเชิงซ้อนอย่างที่พี่แม็คพูดถึงในตอนแรกจะสามารถเขียนได้ 2 แบบ นั่นคือ a+bi หรือคู่อันดับ (a,b) โดยที่ a และ b เป็นจำนวนจริง ซึ่งจำนวนเชิงซ้อนสามารถแสดงได้บนระนาบเชิงซ้อน ดังนี้ค้าบบ

จำนวนเชิงซ้อน 2+3i สามารถเขียนแทนแสดงได้ 2 แบบคือ
แบบที่ 1 แสดงเฉพาะจุด นั่นคือ จุด (2,3) บนระนาบเชิงซ้อน
แบบที่ 2 แสดงเป็นเวกเตอร์ นั่นคือ เวกเตอร์ที่มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่จุด (0,0) และจุดสิ้นสุดอยู่ที่จุด (2,3)
ก่อนอื่นพี่แม็คจะทบทวนการหาระหว่างจุดสองจุด ดังนี้
ถ้าเกิดว่าน้อง ๆ ต้องการหาระยะห่างระหว่างจุด P(a,b) และ Q(c,d) จะได้ว่าระยะห่างระหว่างจุด P และ Q เท่ากับ PQ=(a−c)2+(b−d)2 หน่วย
Ex. กำหนดให้ P(1,2) และ Q(3,−4)
จะได้ว่า PQ=(1−3)2+(2−(−4))2=(−2)2+(6)2=4+36=40 หน่วย
กำหนดให้ z1=a+bi และ z2=c+di
จะได้ว่า ∣z1−z2∣=(a−c)2+(b−d)2 จะเป็นระยะห่างระหว่างจุดสองจุด z1 และ z2
ถ้า z0=h+ki เป็นจำนวนเชิงซ้อน และ r เป็นจำนวนจริงบวก จะได้ว่า ∣z−z0∣=r จะเป็นวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด (h,k) รัศมี r หน่วย ซึ่งจะเป็นจุดทั้งหมดที่มีระยะห่างจาก z0 เท่ากับ r หน่วย

จำนวนเชิงซ้อนในรูปเชิงขั้ว
การแปลงจำนวนเชิงซ้อนในรูปแบบปกติให้อยู่ในรูปเชิงขั้ว

ในเรื่องนี้ได้ใช้เรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติ น้องๆ สามารถทบทวนความรู้เรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติ ซึ่งกดได้ที่นี่เลยค้าบบ
Ex. จงเขียนให้อยู่ในรูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน 1+3i
วิธีทำ
เนื่องจาก 1+3i จะได้ว่า 1+3i=12+(3)2=1+3=4=2
และได้ว่า tanθ=13=3 และจำนวนเชิงซ้อน 1+3i อยู่ในคอวดรันต์ที่ 1
ทำให้ได้ว่า θ=60∘ หรือ θ=3π
ดังนั้น รูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน 1+3i คือ 2(cos(3π)+isin(3π))
Ex. จงเขียนให้อยู่ในรูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน −4+4i
วิธีทำ
เนื่องจาก −4+4i จะได้ว่า ∣−4+4i∣=(−4)2+42=16+16=32=42
และได้ว่า tanθ=−44=−1 และจำนวนเชิงซ้อน −4+4i อยู่ในคอวดรันต์ที่ 2
ทำให้ได้ว่า θ=135∘ หรือ θ=43π
ดังนั้น รูปเชิงขั้วของจำนวนเชิงซ้อน −4+4i คือ 42(cos(43π)+isin(43π))
การแปลงจำนวนเชิงซ้อนในรูปเชิงขั้วให้อยู่ในรูปแบบปกติ
Ex. จงเขียนจำนวนเชิงซ้อนที่อยู่ในรูปเชิงขั้วต่อไปนี้ให้อยู่ในรูป a+bi เมื่อ a และ b เป็นจำนวนจริง
(1) z1=4(cos(4π)+isin(4π))
วิธีทำ เนื่องจาก cos(4π)=22 และ sin(4π)=22 จะได้ว่า
z1=4(22+22i)=242+242i=22+22i 
(2) z2=10(cos(3π)+isin(3π))
วิธีทำ เนื่องจาก cos(3π)=21 และ sin(3π)=23 จะได้ว่า
z2=10(21+23i)=210+2103i=5+53i 
(3) z3=3(cos(2π)+isin(2π))
วิธีทำ เนื่องจาก cos(2π)=0 และ sin(2π)=1 จะได้ว่า
z3=3(0+i(1))=3i 
สมบัติของการดำเนินการของจำนวนเชิงซ้อนที่เขียนอยู่ในรูปเชิงขั้ว
ให้ z1=r1(cosθ1+isinθ1) และ z2=r2(cosθ2+isinθ2) โดยที่ z1=0 และ z2=0
- z1z2=r1r2(cos(θ1+θ2)+isin(θ1+θ2))
 - z21=r21(cos(θ2)−isin(θ2))
 - z2z1=r2r1(cos(θ1−θ2)+isin(θ1−θ2))
 - z1=r1(cos(−θ1)+isin(−θ1))
 
Ex. กำหนดให้ z1=6(cos(3π)+isin(3π)) และ z2=2(cos(6π)+isin(6π))
จงหาค่าของ z1z2, z2z1 และ z1 ในรูปของ a+bi เมื่อ a และ b เป็นจำนวนจริง
วิธีทำ ต่อไปจะหาค่าของ z1z2 จากสมบัติข้อที่ 1. ดังนี้
z1z2=r1r2(cos(θ1+θ2)+isin(θ1+θ2))=(6)(2)(cos(3π+6π)+isin(3π+6π))=12(cos(62π+6π)+isin(62π+6π))=12(cos(63π)+isin(63π))=12(cos(2π)+isin(2π))=12(0+i(1))=12i 
หาค่าของ z2z1 จากสมบัติข้อที่ 3. ดังนี้
z2z1=r2r1(cos(θ1−θ2)+isin(θ1−θ2))=26(cos(3π−6π)+isin(3π−6π))=3(cos(6π)+isin(6π))=3(23+21i)=233+23i 
หาค่าของ z1 จากสมบัติข้อที่ 4. ดังนี้
z1=r1(cos(−θ1)+isin(−θ1))=6(cos(−3π)+isin(−3π))=6(21−23i)=3−33i 
ให้ A แทนเซตของจำนวนเชิงซ้อน z ทั้งหมดในระนาบเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับอสมการ ∣z−i∣2+∣z+i∣2<4 
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก) ถ้า w∈A แล้ว Re(w)∈A
ข) ถ้า w∈A แล้ว w∈A
ค) ถ้า w∈A แล้ว w2∈A
จากข้อความ ก) ข) และ ค) ข้างต้น ข้อใดถูกต้อง
- ข้อความ ก) ถูกต้องเพียงข้อเดียวเท่านั้น
 - ข้อความ ข) ถูกต้องเพียงข้อเดียวเท่านั้น
 - ข้อความ ก) และ ข) ถูกต้องเท่านั้น
 - ข้อความ ข) และ ค) ถูกต้องเท่านั้น
 - ข้อความ ก) ข) และ ค) ถูกต้อง
 
วิธีทำให้ z=x+yi เป็นจำนวนเชิงซ้อน จะได้ว่า
∣z−i∣2+∣z+i∣2∣(x+yi)−i∣2+∣(x+yi)+i∣2∣x+(y−1)i∣2+∣x+(y+1)i∣2(x2+(y−1)2)2+(x2+(y+1)2)2x2+(y−1)2+x2+(y+1)2x2+(y2−2y+1)+x2+(y2+2y+1)2x2+2y2+2x2+y2+1x2+y2<4<4<4<4<4<4<4<2<1 
เนื่องจาก z=x+yi จะได้ว่า ∣z∣=x2+y2 ทำให้ได้ว่า ∣z∣<1
ดังนั้น A เป็นเซตของจุดภายในทั้งหมดของวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (0,0) รัศมียาว 1 หน่วยซึ่งไม่รวมจุดขอบ นั่นคือ A={z∈C∣∣z∣<1} หรือ A={x+yi∈Cx2+y2<1}
ต่อไปจะพิจารณาข้อความแต่ละข้อดังนี้
ก) ถ้า w∈A แล้ว Re(w)∈A
ให้ w=a+bi เป็นจำนวนเชิงซ้อนในเซต A จะได้ว่า −1<a<1
พิจารณา Re(w)=a=a+0i ซึ่ง −1<a<1
ดังนั้น Re(w)∈A
ข) ถ้า w∈A แล้ว w∈A
ให้ w=a+bi เป็นจำนวนเชิงซ้อนในเซต A จะได้ว่า ∣w∣<1
เนื่องจาก ∣w∣=a2+(−b)2=a2+b2=∣w∣ นั่นคือ ∣w∣=∣w∣
ทำให้ได้ว่า ∣w∣<1
ดังนั้น w∈A
ค) ถ้า w∈A แล้ว w2∈A
ให้ w=a+bi เป็นจำนวนเชิงซ้อนในเซต A จะได้ว่า ∣w∣<1
พิจารณา ∣w∣2=(a2+b2)2=a2+b2
และ w2=(a+bi)(a+bi)=a2+2abi+(bi)2=a2+2abi−b2=(a2−b2)+2abi
จะได้ว่า
w2=(a2−b2)2+(2ab)2=a4−2a2b2+b4+4a2b2=a4+2a2b2+b4=(a2+b2)2=a2+b2 
จะเห็นว่า w2=∣w∣
ดังนั้น w2<1
เพราะฉะนั้น w∈A
ตอบ ข้อ 5. ข้อความ ก) ข) และ ค) ถูกต้อง