ความถนัดแพทย์ MEDDENT
เข้าสู่ระบบ
ปรึกษาแอดมิน
สรุปเนื้อหา ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

สรุปเนื้อหา ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

เมษายน 30, 2025

สวัสดีคร้าบบบ^^ วันนี้พี่หมอแม็คจะพาน้อง ๆ มาเริ่มบท ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน บทนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของ ม.ปลาย ที่ต้องใช้ต่อในหลายเรื่องเลยน้า~ ใครที่ยังงง ๆ ว่า ความสัมพันธ์คืออะไร ฟังก์ชันดูยังไง ไม่ต้องห่วงนะคับ! พี่สรุปเนื้อหาพร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่ายไว้ให้แล้ว แถมมีเทคนิคทำข้อสอบเล็ก ๆ มาฝากด้วยครับ ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเล้ยยย!

คู่อันดับ

คู่อันดับ (order pair) เป็นการจับคู่ของสิ่งของสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน เขียนแทนด้วย (a,b)(a, b)
การเท่ากันของคู่อันดับ ถ้าน้องมีคู่อันดับ 2 คู่ ให้น้องพิจารณาที่สมาชิกตัวหน้าและตัวหลังของคู่อันดับทั้งสองต้องมีค่าเท่ากันครับ ถึงจะสรุปได้ว่า คู่อันดับทั้งสองนั้นมีค่าเท่ากัน

Ex.1 จงหาว่าคู่อันดับ 2 คู่ที่กำหนดให้ในแต่ละข้อต่อไปนี้เท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด

  1. (2,3)(2, -3) และ (4,3)(4, 3)
    ตอบ เนื่องจาก 242 \neq 4 และ 33-3 \neq 3 เห็นว่า สมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับมีค่าไม่เท่ากัน
    ดังนั้น (2,3)(4,3)(2, -3) \neq (4, 3)
  2. (3,6)(3, 6) และ (3,24)(3, 2 \cdot 4)
    ตอบ เนื่องจาก 624=86 \neq 2 \cdot 4 = 8 เห็นว่า สมาชิกตัวหลังของคู่อันดับมีค่าไม่เท่ากัน
    ดังนั้น (3,6)(3,24)(3, 6) \neq (3, 2 \cdot 4)
  3. (4,16)(4, 16) และ (22,42)(2^2, 4^2)
    ตอบ เนื่องจาก 4=224 = 2^2 และ 16=4216 = 4^2 นั่นคือ สมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับมีค่าเท่ากัน
    ดังนั้น (4,6)=(22,42)(4, 6) = (2^2, 4^2)

ผลคูณคาร์ทีเชียน

ผลคูณคาร์ทีเชียนของ AA และ BB คือ เซตของคู่อันดับ (a,b)(a, b) ทั้งหมด โดยที่ aAa \in A และ bBb \in B ซึ่งเขียนแทนผลคูณคาร์ทีเชียนของ AA และ BB ด้วย A×BA \times B

Ex.2 กำหนดให้ A={1,2}A = \left\{1, 2\right\} และ B={a,b,c}B = \left\{a, b, c\right\} จงหา A×BA \times B และ B×AB \times A

วิธีทำ

A×B={(1,a), (1,b), (1,c), (2,a), (2,b), (2,c)}A \times B = \left\{ (1, a),\ (1, b),\ (1, c),\ (2, a),\ (2, b),\ (2, c) \right\}
และ B×A={(a,1), (a,2), (b,1), (b,2), (c,1), (c,2)}B \times A = \left\{ (a, 1),\ (a, 2),\ (b, 1),\ (b, 2),\ (c, 1),\ (c, 2) \right\}

น้อง ๆ จะเห็นว่า คู่อันดับทุกคู่ใน A×BA \times B ไม่เป็นสมาชิกของ B×AB \times A และในทางกลับกันคู่อันดับทุกคู่ใน B×AB \times A ไม่เป็นสมาชิกของ A×BA \times B ดังนั้น A×BB×AA \times B \neq B \times A น้องๆ อาจจะต้องระวังตรงนี้นิดนึงนะคั้บ^^

ความสัมพันธ์และกราฟ

เซต rr เป็นความสัมพันธ์ (relation) จาก AA ไปยัง BB ถ้าเซต rr เป็นสับเซตของผลคูณคาร์ทีเชียน A×BA \times B
และเซต rr เป็นความสัมพันธ์บน AA ถ้าเซต rr เป็นสับเซตของผลคูณคาร์ทีเชียน A×AA \times A

Ex.3 กำหนดให้ A={1,2}A = \left\{1, 2\right\} และ B={a,b,c}B = \left\{a, b, c\right\}
ให้ r1={(1,a), (1,b), (1,c)}r_1 = \left\{ (1, a),\ (1, b),\ (1, c) \right\} และ r2={(1,a), (2,a), (3,a)}r_2 = \left\{ (1, a),\ (2, a),\ (3, a) \right\}
จงหาว่า r1r_1 และ r2r_2 เป็นความสัมพันธ์จาก AA ไปยัง BB หรือไม่

วิธีทำ

เนื่องจาก r1A×Br_1 \subset A \times B ดังนั้น r1r_1 เป็นความสัมพันธ์จาก AA ไปยัง BB
และจาก (3,a)∉A×B(3, a) \not\in A \times B นั่นคือ r2⊄A×Br_2 \not\subset A \times B ดังนั้น r2r_2 ไม่เป็นความสัมพันธ์จาก AA ไปยัง BB

กราฟ (graph) เป็นการแสดงให้เห็นลักษณะของความสัมพันธ์ของสิ่งของสองสิ่งให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นการแสดงบริเวณของ R×R\mathbb{R} \times \mathbb{R} ที่เรียกว่า ระบบพิกัดฉาก (rectangular coordinate system) ซึ่งค่าบนแกน XX เป็นสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ และค่าบนแกน YY เป็นสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ

Ex.4 กำหนดให้ A={1,2,3}A = \left\{1, 2, 3 \right\} และ B={1,2,3,4,5,6}B = \left\{1, 2, 3, 4, 5, 6\right\}
ถ้า r={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5) (3,6)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5)\ (3, 6)\right\}
จงพิจารณาว่า rr เป็นความสัมพันธ์จาก AA ไปยัง BB หรือไม่ ถ้าเป็นให้วาดกราฟบนระนาบ

วิธีทำ

เนื่องจาก r={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5),\ (3, 6)\right\}
ซึ่งสมาชิกทุกตัวใน rr เป็นสมาชิกของ A×BA \times B ดังนั้น rr เป็นความสัมพันธ์จาก AA ไปยัง BB

Post

Ex.5 กำหนดให้ A={1,2,3}A = \left\{1, 2, 3 \right\} ถ้า r={(a,b)  aA และ b=a+1}r = \left\{ (a, b)\ |\ a \in A \text{ และ } b = a+1 \right\}
จงพิจารณาว่า rr เป็นความสัมพันธ์บน AA หรือไม่ ถ้าเป็นให้วาดกราฟบนระนาบ

วิธีทำ

เนื่องจาก r={(1,2), (2,3), (3,4)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 3),\ (3, 4)\right\} ซึ่ง (3,4)∉A×A(3, 4) \not\in A \times A นั่นคือ r⊄A×Ar \not\subset A \times A
ดังนั้น rr ไม่เป็นความสัมพันธ์บน AA

Ex.6 กำหนดให้ r={(x,y)R×R | y=12x+3}r = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\}
จงวาดกราฟของความสัมพันธ์ rr

วิธีทำ

เนื่องจาก y=x2+3\displaystyle y = \frac{x}{2}+3 เป็นสมการเส้นตรง ดังนั้น กราฟของความสัมพันธ์ rr สามารถสร้างได้ดังนี้

Post

โดเมนและเรนจ์

โดเมน (Domain) ของ rr เขียนแทนด้วย DrD_r คือ เซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ
เรนจ์ (Range) ของ rr เขียนแทนด้วย RrR_r คือ เซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ

Ex.7 จงหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้

  1. r1={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6)}r_1 = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5),\ (3, 6)\right\}
    ตอบ Dr={1,2,3}D_r = \left\{ 1, 2, 3\right\} และ Rr={2,3,4,5,6}R_r = \left\{ 2, 3, 4, 5, 6 \right\}
  2. r2={(x,y)R×R | y=12x+3}r_2 = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\}
    ตอบ Dr=RD_r = \mathbb{R} และ Rr=RR_r = \mathbb{R}
  3. r3={(x,y)R×R | x2+y2=4}r_3 = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle x^2 + y^2 = 4 \right\}
    วิธีทำ (1) พิจารณาหาโดเมน DrD_r โดยจัดรูปให้อยู่ในเทอมของ xx ดังนี้
    เนื่องจาก x2+y2=4x^2 + y^2 = 4 จะได้ว่า y2=4x2y^2 = 4 - x^2 นั่นคือ y=±4x2y = \pm\sqrt{4 - x^2}
    พิจารณา 4x204 - x^2 \geq 0 นั่นคือ x240x^2 - 4 \leq 0 หรือ (x2)(x+2)0(x-2)(x+2) \leq 0 ทำให้ x[0,2]x \in \left[0,2\right]
    เนื่องจาก y=±4x2y = \pm\sqrt{4 - x^2} แสดงว่า x[2,2]x \in \left[-2,2\right] ดังนั้น Dr=[2,2]D_r = \left[-2,2\right]
    (2) พิจารณาหาเรนจ์ RrR_r โดยจัดรูปให้อยู่ในเทอมของ yy ดังนี้
    เนื่องจาก x2+y2=4x^2 + y^2 = 4 จะได้ว่า x2=4y2x^2 = 4 - y^2 นั่นคือ x=±4y2x = \pm\sqrt{4 - y^2}
    พิจารณา 4y204 - y^2 \geq 0 นั่นคือ y240y^2 - 4 \leq 0 หรือ (y2)(y+2)0(y-2)(y+2) \leq 0 ทำให้ y[0,2]y \in \left[0,2\right]
    เนื่องจาก y=±4y2y = \pm\sqrt{4 - y^2} แสดงว่า y[2,2]y \in \left[-2,2\right] ดังนั้น Rr=[2,2]R_r = \left[-2,2\right]

ความสัมพันธ์ผกผัน

ความสัมพันธ์ผกผันของ rr เขียนแทนด้วย r1r^{-1} คือ การสลับที่ของสมาชิกตัวหน้าและตัวหลังของทุกคู่อันดับ TIPS Dr1=RrD_{r^{-1}} = R_r และ Rr1=DrR_{r^{-1}} = D_r

Ex.8 กำหนดให้ A={1,2,3}A = \left\{1, 2, 3 \right\} และ B={1,2,3,4,5,6}B = \left\{1, 2, 3, 4, 5, 6\right\}
ถ้า r={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5),\ (3, 6)\right\}
จงหา r1,Dr1r^{-1}, D_{r^{-1}} และ Rr1R_{r^{-1}}

วิธีทำ


จาก r={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5),\ (3, 6)\right\} ใน {Ex.4}
จะได้ว่า r1={(2,1), (2,2), (3,2), (4,2), (2,3), (3,3), (4,3), (5,3), (6,3)}r^{-1} = \left\{ (2, 1),\ (2, 2),\ (3, 2),\ (4, 2),\ (2, 3),\ (3, 3),\ (4, 3),\ (5, 3),\ (6, 3)\right\}
ทำให้ได้ว่า Dr1={2,3,4,5,6}D_{r^{-1}} = \left\{ 2, 3, 4, 5, 6 \right\} และ Rr1={1,2,3}R_{r^{-1}} = \left\{ 1, 2, 3\right\}

Ex.9 กำหนดให้ r={(x,y)R×R | y=12x+3}r = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\}
จงหา r1r^{-1} พร้อมวาดกราฟของความสัมพันธ์ r1r^{-1}

วิธีทำ

จากความสัมพันธ์ r={(x,y)R×R | y=12x+3}r = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\} ใน {Ex.6}
จะได้ว่า ความสัมพันธ์ผกผัน คือ ความสัมพันธ์

r1={(y,x)R×R | y=12x+3} \begin{align*} r^{-1} = \left\{ (y, x)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\} \end{align*}

หรือ

r1={(x,y)R×R | x=12y+3}={(x,y)R×R | y=2x6} \begin{align*} r^{-1} &= \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle x = \frac{1}{2}y+3 \right\} \\ &= \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = 2x - 6 \right\} \end{align*}

Post

ฟังก์ชัน

ฟังก์ชัน (function) เป็นความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่กำหนดให้สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัวจับคู่กับสมาชิกตัวหลังเพียงตัวเดียวเท่านั้น

Ex.10 กำหนดให้ r={(1,2), (2,2), (2,3), (2,4), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5) (3,6)}r = \left\{ (1, 2),\ (2, 2), \ (2, 3),\ (2, 4),\ (3, 2), \ (3, 3),\ (3, 4),\ (3, 5)\ (3, 6)\right\}
จงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ rr เป็นฟังก์ชันหรือไม่

วิธีทำ

เนื่องจาก (2,2)(2, 2) และ (2,3),(2, 3), เป็นสมาชิกใน rr เห็นว่า สมาชิกตัวหน้าจับคู่กับสมาชิกตัวหลังมากกว่า 11 ตัว
ดังนั้น ความสัมพันธ์ rr ไม่เป็นฟังก์ชัน

ในการตรวจสอบว่าความสัมพันธ์ใดเป็นฟังก์ชัน น้อง ๆ สามารถดูจากกราฟของความสัมพันธ์ได้ ถ้าเราลากเส้นตรงขนานกับแกน YY แล้วมีจุดตัดของเส้นตรงกับกราฟของฟังก์ชันมากกว่า 11 จุด น้องๆ สรุปได้เลยครับว่า ความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน ตัวอย่างเช่น Ex.10 ความสัมพันธ์ rr สามารถวาดกราฟได้เป็นดังรูป เมื่อลากเส้นตรงขนานแกน YY พบว่าที่เส้นตรง x=2x=2 มีจุดตัดกับกราฟของความสัมพันธ์ถึง 33 จุด จึงสรุปได้เลยว่า ความสัมพันธ์ rr ไม่เป็นฟังก์ชันนั่นเองคร้าบบ

Post

แต่ถ้ามีจุดตัดเพียงจุดเดียวตลอดทั้งกราฟ น้องๆ สามารถสรุปได้เลยครับว่า ความสัมพันธ์นั้นเป็นฟังก์ชัน

Ex.11 กำหนดให้ r={(x,y)R×R | y=12x+3}r = \left\{ (x, y)\in \mathbb{R}\times\mathbb{R}\ \middle| \ \displaystyle y = \frac{1}{2}x+3 \right\}
จงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ rr เป็นฟังก์ชันหรือไม่

วิธีทำ

พิจารณากราฟของความสัมพันธ์ rr ดังนี้

Post

เมื่อลากเส้นตรงขนานกับแกน YY ตลอดทั้งกราฟของความสัมพันธ์ rr พบว่า มีจุดตัดเพียงจุดเดียวตลอดทั้งกราฟ
ดังนั้น ความสัมพันธ์ rr เป็นฟังก์ชัน

การดำเนินการของฟังก์ชัน

ให้ ff และ gg เป็นฟังก์ชัน และ xx เป็นจำนวนจริง
การบวก f+gf+g นิยามโดย (f+g)(x)=f(x)+g(x)(f+g)(x) = f(x) + g(x)
การลบ fgf-g นิยามโดย (fg)(x)=f(x)g(x)(f-g)(x) = f(x) - g(x)
การคูณ fgfg นิยามโดย (fg)(x)=f(x)g(x)(fg)(x) = f(x) \cdot g(x)
การหาร fg\displaystyle\frac{f}{g} นิยามโดย (fg)(x)=f(x)g(x)\displaystyle\left(\frac{f}{g}\right)(x) = \displaystyle\frac{f(x)}{g(x)} สำหรับทุก g(x)0g(x) \neq 0

โดยที่โดเมน Df+gD_{f+g}, DfgD_{f-g}, DfgD_{fg} คือ DfDgD_f \cap D_g
และโดเมน Dfg\displaystyle D_{\frac{f}{g}} คือ DfDg{xDg| g(x)=0}D_f \cap D_g - \left\{ x \in D_g \middle| \ g(x) = 0 \right\}

Ex.12 กำหนดให้ f={(1,2), (2,3), (3,6), (4,0)}f = \left\{ (1, 2),\ (2, -3), \ (3, 6), \ (4, 0) \right\} และ g={(0,2), (1,4), (2,1), (3,0)}g = \left\{ (0, -2),\ (1, 4), \ (2, -1), \ (3, 0) \right\}
จงหา f+g,fg,fgf+g, f-g, fg และ fg\displaystyle\frac{f}{g} พร้อมหาโดเมนของฟังก์ชันดังกล่าว

วิธีทำ

พิจารณาหาการบวก f+gf+g, การลบ fgf-g, การคูณ fgfg และ การหาร fg\displaystyle\frac{f}{g} ดังนี้
(1) f+g={(1,6), (2,4), (3,6)}f+g = \left\{ (1, 6),\ (2, -4), \ (3, 6) \right\}
(2) fg={(1,2), (2,2), (3,6)}f-g = \left\{ (1, -2),\ (2, -2), \ (3, 6) \right\}
(3) fg={(1,8), (2,3), (3,0)}fg = \left\{ (1, 8),\ (2, 3), \ (3, 0) \right\}
(4) fg={(1,12), (2,3)}\displaystyle\frac{f}{g} = \left\{ \left(1, \displaystyle\frac{1}{2}\right),\ (2, 3) \right\} และ Dfg={1,2}\displaystyle D_{\frac{f}{g}} = \left\{ 1, 2 \right\}

ต่อไปจะหาโดเมนของฟังก์ชันดังกล่าว พบว่า
โดเมน Df+gD_{f+g}, DfgD_{f-g}, DfgD_{fg} คือ DfDg={1,2,3}D_f \cap D_g =\left\{ 1, 2, 3 \right\}
และโดเมน Dfg\displaystyle D_{\frac{f}{g}} คือ DfDg{xDg| g(x)=0}={1,2}D_f \cap D_g - \left\{ x \in D_g \middle| \ g(x) = 0 \right\} = \left\{ 1, 2 \right\}

Ex.13 กำหนดให้ f(x)=1x3f(x) = \displaystyle\frac{1}{x-3} และ g(x)=x21g(x) = \sqrt{x^2-1}
จงหา f+g,fg,fgf+g, f-g, fg และ fg\displaystyle\frac{f}{g} พร้อมหาโดเมนของฟังก์ชันดังกล่าว

วิธีทำ

พิจารณาหาการบวก f+gf+g, การลบ fgf-g, การคูณ fgfg และ การหาร fg\displaystyle\frac{f}{g} ดังนี้
(1) (f+g)(x)=1x3+x21(f+g)(x) = \displaystyle\frac{1}{x-3} + \sqrt{x^2-1}
(2) (fg)(x)=1x3x21(f-g)(x) = \displaystyle\frac{1}{x-3} - \sqrt{x^2-1}
(3) (fg)(x)=x21x3(fg)(x) = \displaystyle\frac{\sqrt{x^2-1}}{x-3}
(4) (fg)(x)=1x3x21=1(x3)x21\displaystyle\left(\frac{f}{g}\right)(x) = \displaystyle\frac{\displaystyle\frac{1}{x-3}}{\sqrt{x^2-1}} = \displaystyle\frac{1}{(x-3)\sqrt{x^2-1}}

ต่อไปจะหาโดเมนของฟังก์ชันดังกล่าว พบว่า
พิจารณาหาโดเมน DfD_f จาก x30x-3 \neq 0 จะได้ว่า x3x \neq 3 ดังนั้น Df=R{3}D_f = \mathbb{R} - \left\{ 3 \right\}
และ DgD_g จาก x210x^2-1 \geq 0 จะได้ว่า (x1)(x+1)0(x-1)(x+1) \geq 0 ดังนั้น Dg=(,1][1,)D_g = (-\infty, -1] \cup [1, \infty)
เพราะฉะนั้น โดเมน Df+gD_{f+g}, DfgD_{f-g}, DfgD_{fg} คือ DfDg=(,1][1,3)(3,)D_f \cap D_g = (-\infty, -1] \cup [1, 3) \cup (3, \infty)

เนื่องจาก x21=0\sqrt{x^2-1} = 0 จะได้ว่า x21=0x^2-1 = 0 ทำให้ (x1)(x+1)=0(x-1)(x+1) = 0
ดังนั้น x=1,1x = 1, -1 นั่นคือ ค่าของ xx ที่ทำให้ g(x)=0g(x) = 0 ได้แก่ 11 และ 1-1
เพราะฉะนั้น โดเมน Dfg\displaystyle D_{\frac{f}{g}} คือ DfDg{xDg| g(x)=0}=(,1)(1,3)(3,)D_f \cap D_g - \left\{ x \in D_g \middle| \ g(x) = 0 \right\} = (-\infty, -1) \cup(1, 3) \cup (3, \infty)

ฟังก์ชันประกอบ (composite function) เขียนแทนด้วย gfg \circ f นิยามโดย (gf)(x)=g(f(x))(g \circ f)(x) = g(f(x))
โดยที่โดเมน DgfD_{g \circ f} คือ {xDf| f(x)Dg}\left\{ x \in D_f \middle| \ f(x) \in D_g \right\}
TIPS ถ้า RfDg=R_f \cap D_g = \varnothing จะหาฟังก์ชันประกอบ gfg \circ f ไม่ได้

Ex.14 กำหนดให้ f(x)=1x2f(x) = \sqrt{1 - x^2} และ g(x)=x2+2g(x) = x^2+2
จงหา gfg \circ f และ fgf \circ g

วิธีทำ

(1) พิจารณาหาเรนจ์ RfR_f และโดเมน DgD_g ดังนี้
ให้ y=1x2y = \sqrt{1 - x^2} จะได้ว่า y2=1x2y^2 = 1 - x^2 เมื่อ y0y \geq 0 นั่นคือ x2+y2=1x^2 + y^2 = 1 ซึ่งเป็นสมการวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด (0,0)(0,0) รัศมี 11 หน่วย ดังนั้น Rf=[0,1]R_f = [0, 1]
และเนื่องจากสามารถหาค่า g(x)=x2+2g(x) = x^2+2 สำหรับทุกจำนวนจริง xx ดังนั้น Dg=RD_g = \mathbb{R}
พบว่า RfDg=[0,1]R=[0,1]R_f \cap D_g = [0, 1] \cap \mathbb{R} = [0, 1]
ดังนั้น (gf)(x)=g(f(x))=g(1x2)=(1x2)2+2=1x2+2(g \circ f)(x) = g(f(x)) = g\left( \sqrt{1 - x^2} \right) = \left( \sqrt{1 - x^2} \right)^2+2 = \left| 1 - x^2 \right| +2

(2) พิจารณาหาเรนจ์ RgR_g และโดเมน DfD_f ดังนี้
เนื่องจาก y=x2+2y = x^2+2 เป็นสมการพาราโบลาหงายที่มีจุดยอดอยู่ที่จุด (0,2)(0,2) ดังนั้น Rf=[2,)R_f = [2, \infty)
และโดเมน DfD_f จาก 1x201 - x^2 \geq 0 จะได้ว่า x210 x^2 - 1 \leq 0 นั่นคือ (x1)(x+1)0(x-1)(x+1) \leq 0 ดังนั้น Df=[1,1]D_f = [-1, 1]
พบว่า RgDf=[2,)[1,1]=R_g \cap D_f = [2, \infty) \cap [-1, 1] = \varnothing
ดังนั้น fgf \circ g หาไม่ได้

ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด

ฟังก์ชันเพิ่ม (increasing function) คือ ฟังก์ชันเมื่อ xx เพิ่มขึ้น ค่า yy เพิ่มขึ้นตาม
ฟังก์ชันลด (decreasing function) คือ ฟังก์ชันเมื่อ xx เพิ่มขึ้น แต่ค่า yy ลดลง

Ex.15 จงหาช่วงที่ทำให้ฟังก์ชัน ff เป็นฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่ทำให้เป็นฟังก์ชันลด เมื่อกำหนดกราฟของฟังก์ชัน ff ต่อไปนี้

1. f(x)=12x+3f(x) = \displaystyle\frac{1}{2}x+3

Post

เห็นว่าเมื่อ xx เพิ่มขึ้น ค่า yy เพิ่มขึ้นตาม สำหรับทุกจำนวนจริง xx
ดังนั้น ff เป็นฟังก์ชันเพิ่มบน R\mathbb{R}

2. g(x)=1xg(x) = \displaystyle\frac{1}{x}

Post

เห็นว่าเมื่อ xx เพิ่มขึ้น แต่ค่า yy ลดลง สำหรับทุกจำนวนจริง xx ที่ไม่ใช่ 00
ดังนั้น gg เป็นฟังก์ชันลดบน R{0}\mathbb{R} - \left\{ 0 \right\}

3. h(x)=x2h(x) = x^2

Post

เห็นว่าเมื่อ xx เพิ่มขึ้น แต่ค่า yy ลดลง สำหรับทุกจำนวนจริง xx ที่น้อยกว่า 00
ดังนั้น hh เป็นฟังก์ชันลดบนช่วง (,0)(-\infty, 0)
เห็นว่าเมื่อ xx เพิ่มขึ้น แล้วค่า yy เพิ่มขึ้นตาม สำหรับทุกจำนวนจริง xx ที่มากกว่า 00
ดังนั้น hh เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง (0,)(0, \infty)

ข้อสอบจริง A-Level คณิตศาสตร์ประยุกต์ 1
เรื่องความสัมพันธ์และฟังก์ชัน (ปี 65)

ถ้า r1={(x,y)R×R| y=10x+3}r_1 = \left\{(x,y) \in \mathbb{R} \times\mathbb{R} \middle| \ y= \sqrt{10 - \sqrt{x+3}} \right\} และ r2={(x,y)R×R| y=9x23x4}\displaystyle r_2 = \left\{(x,y) \in \mathbb{R} \times\mathbb{R} \middle| \ y= \frac{9}{\sqrt{x^2-3x-4}} \right\}
แล้ว Dr1Dr2D_{r_1} \cap D_{r_2} เท่ากับเซตในข้อใด

  1. [3,1)(4,97][-3, -1) \cup (4, 97]
  2. [3,1)(3,97][-3, -1) \cup (3, 97]
  3. [3,1)[-3, -1)
  4. (3,97](3, 97]
  5. (4,97](4, 97]

วิธีทำ

(1) พิจารณาโดเมนของ r1r_1 ดังนี้
เนื่องจาก 10x+3010 - \sqrt{x+3} \geq 0 จะได้ว่า 10x+310 \geq \sqrt{x+3} ทำให้ได้ว่า 100x+3100 \geq \left| x+3 \right|
เพราะฉะนั้น x+3100\left| x+3 \right| \leq 100 ทำให้ 100x+3100 -100 \leq x+3 \leq 100 นั่นคือ 103x97 -103 \leq x \leq 97
แต่เนื่องจาก x+30x+3 \geq 0 ด้วย จะได้ว่า x3x \geq -3
ดังนั้น Dr1=[3,97]D_{r_1} = [-3, 97]

Post

(2) พิจารณาโดเมนของ r2r_2 ดังนี้
เนื่องจาก x23x40\sqrt{x^2-3x-4} \neq 0 จะได้ว่า x23x40x^2-3x-4 \neq 0
ทำให้ได้ว่า (x4)(x+1)0(x-4)(x+1) \neq 0 นั่นคือ x4,1x \neq 4, -1
แต่เนื่องจาก x23x40x^2-3x-4 \geq 0 ด้วย จะได้ว่า (x4)(x+1)0(x-4)(x+1) \geq 0
ดังนั้น Dr2=(,1)(4,)D_{r_2} = (-\infty, -1) \cup (4, \infty)

Post

(3) หา Dr1Dr2D_{r_1} \cap D_{r_2}

Post

เพราะฉะนั้น Dr1Dr2=[3,1)(4,97]D_{r_1} \cap D_{r_2} = [-3, -1) \cup (4, 97]

ตอบ ข้อ 1. [3,1)(4,97][-3, -1) \cup (4, 97]